ในปี ค.ศ. 1930 ที่เมืองฝอซาน มณฑลกวางตุ้ง ยิปมัน เป็นยอดฝีมือมวยหย่งชุน แต่ยิปมันไม่ได้รับใครเป็นลูกศิษย์หรือเปิดสำนักสอนกังฟูเหมือนเช่นคนอื่น ๆ ในฝอซาน ที่ต่างเปิดสำนักกังฟูกันจนเอิกเกริกทั้งเมือง แต่เขาปรารถนาที่จะอยู่อย่างเรียบง่ายกับ อาเจิน ผู้เป็นภรรยา (สง ไต้หลิน) และ อาชุน ลูกชายวัย 5 ขวบ เท่านั้น
ยิปมันและภรรยาต่างได้รับความนับถืออย่างยิ่งจากชาวเมืองฝอซาน จนกระทั่ง อาจารย์เลี่ยว ปรมาจารย์กังฟูมาขอท้าทายฝีมือด้วย ยิปมันก็เอาชนะได้ในที่สุด รวมกระทั่งการเอาชนะ จินไท่หยวน นักเลงจากต่างถิ่น ที่ยกพวกมาข่มเหงชาวฝอซานถึงกับที่ด้วย
จนกระทั่งในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง กองทัพของจักรวรรดิญี่ปุ่นยาตราทัพเข้าบุกยึดฝอซาน สภาพในเมืองต่างย่ำแย่ แม้กระทั่งบ้านหลังใหญ่โตของยิปมันก็ถูกยึดครอง เขาและภรรยาและลูกชายต้องระเห็ดไปอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ โทรม ๆ ด้วยความแร้นแค้นทำให้ยิปมันต้องไปทำงานในเหมืองขุดทองเช่นเดียวกับปรมาจารย์กังฟูคนอื่น ๆ จนกระทั่ง นายพลมิอูระ (ฮิโรยูกิ อิกิอูชิ) นายพลกองทัพญี่ปุ่นผู้ชื่นชอบศิลปะการต่อสู้ ได้บังคับให้จัดการต่อสู้ระหว่างศิลปะคาราเต้ของญี่ปุ่นกับกังฟูของจีนขึ้น เพื่อพิสูจน์ความเป็นหนึ่งของศิลปะการต่อสู้ทั้ง 2 ประเภทนี้ ซึ่งผู้ชนะจะได้รางวัลเป็นข้าวสาร ด้วยความลำบากได้บีบบังคับให้อาจารย์เลี่ยวต้องขึ้นประลอง และสามารถเอาชนะนักคาราเต้ได้ในการต่อสู้ตัวต่อตัว แต่ต้องมาพ่ายแพ้เมื่อสู้แบบสามต่อหนึ่ง หลังจากนั้นอาจารย์เลี่ยวยังถูกนายพลซาโต้ผู้ใต้บังคับบัญชาของนายพลมิอูระยิงทิ้ง
ซึ่งการกระทำชนิดหมิ่นหยามศักดิ์ศรีชาวจีนของทหารญี่ปุ่นนี้ ทำให้ยิปมันต้องลุกขึ้นสู้ และสามารถเอาชนะทหารญี่ปุ่นพร้อมกันถึง 10 คนได้ในการต่อสู้เพียงครั้งเดียว นายพลมิอูระชื่นชอบยิปมันมาก จึงอยากให้ยิปมันสอนกังฟูแก่ทหารญี่ปุ่น แต่ยิปมันปฏิเสธ และในท้ายที่สุดยิปมันขึ้นประลองฝีมือตัวต่อตัวกับนายพลมิอูระ บนเวทีสาธารณะและสามารถเอาชนะได้อย่างเด็ดขาดในที่สุด